ด้วยวิถีชีวิตที่เร่งรีบของคนสมัยใหม่ นวัตกรรมที่ช่วยอำนวยความสะดวกรวดเร็วจึงได้รับการคิดค้นและพัฒนาขึ้นเพื่อตอบสนองต่อความต้องการดังกล่าว “ไมโครเวฟ” เป็นหนึ่งในเครื่องใช้ไฟฟ้าที่ตอบโจทย์คนรุ่นนี้ได้อย่างดี เนื่องจากสามารถอุ่นอาหารและละลายอาหารแช่แข็งได้อย่างรวดเร็ว พูดง่ายๆ ว่า “แกะถุง เทใส่ชาม เข้าไมโครเวฟ รอ 1-2 นาที ก็ได้กินแล้ว”
อย่างไรก็ตาม คำกล่าวที่ผู้ใช้ไมโครเวฟมักได้ยินอยู่เสมอ เช่น กินอาหารที่อุ่นด้วยไมโครเวฟบ่อยๆ เสี่ยงต่อการเป็นโรคมะเร็งนะ อาหารที่นำเข้าอุ่นต้องปิดฝามิเช่นนั้นรังสีไมโครเวฟจะทำให้เป็นมะเร็ง อย่าจ้องแสงสีส้มที่ออกมาจากไมโครเวฟนะ เพราะส่งผลเสียต่อสายตา ฯลฯ วันนี้เฮเฟเล่จะพาไปไขข้อข้องใจกันว่าเป็นจริงหรือไม่
คลื่นไมโครเวฟคือคลื่นชนิดใด ทำไมจึงทำให้อาหารร้อนได้
คลื่นไมโครเวฟเป็นคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าชนิดหนึ่ง มีความยาวคลื่น 2150 เมกะเฮิร์ตซ์ โดยอาหารจะร้อนและสุกขึ้นมาได้ เนื่องจากคลื่นไมโครเวฟจากแหล่งกำเนิดภายในวิ่งผ่านกระทบกับอาหารนั้น ทำให้โมเลกุลของน้ำที่อยู่ในอาหารเกิดการสั่นสะเทือนจนเกิดความร้อนและสุก หลังจากนั้นคลื่นไมโครเวฟก็จะสลายตัว ที่สำคัญคือ คลื่นไมโครเวฟมีพลังงานต่ำมาก ต่ำกว่ารังสี UV จากแสงแดดที่เป็นสาเหตุของโรคมะเร็งผิวหนังเสียอีก
คลื่นไมโครเวฟ ก่อให้เกิดโรคมะเร็งจริงหรือไม่
ไม่จริง เพราะเมื่อคลื่นไมโครเวฟทำให้อาหารร้อนและสุกตามที่ต้องการแล้ว คลื่นไมโครเวฟจะสลายตัว ไม่สะสมอยู่ในอาหาร จึงไม่เป็นอันตรายต่อร่างกายมนุษย์ ไม่มีรังสีตกค้างอยู่ในอาหารตามความเชื่อของใครหลายคนอย่างแน่นอน
การจ้องมองแสงสีส้มที่ออกมาจากไมโครเวฟ เป็นอันตรายต่อสายตา จริงหรือไม่
ไม่จริง เพราะแสงสีส้สมที่เห็นนั้นเป็นแสงจากหลอดไฟฟ้าที่ติดตั้งเพื่อให้ผู้ใช้งานมองเห็นอาหารชัดเจน ไม่ใช่แสงของคลื่นไมโครเวฟแต่อย่างใด และคลื่นไมโครเวฟมีพลังงานต่ำมาก ไม่สามารถทะลุผ่านฝาหรือผนังตู้ออกมาได้ แต่ขณะใช้งานก็ไม่ควรเข้าไปจ้องใกล้จนเกินไป
ไมโครเวฟทำให้สูญเสียคุณค่าสารอาหาร
ไม่จริง เพราะการสารอาหารจะสูญเสียมากหรือน้อย ปัจจัยสำคัญขึ้นอยู่กับระยะเวลาที่ใช้ในการปรุงหรืออุ่นอาหารนั้น ดังนั้น การใช้ไมโครเวฟทำให้สารอาหารสูญเสียน้อยที่สุด เพราะใช้เวลาปรุงหรืออุ่นอาหารที่สั้นมาก
อ่านมาถึงตรงนี้แล้ว เชื่อว่าหลายคนคงมั่นใจในการใช้ไมโครเฟวมากขึ้น แต่อย่างไรก็ตาม การใช้ไมโครเวฟก็มีข้อควรระวังหลายประการ ซึ่งต้องปฏิบัติอย่างเคร่งครัดเพื่อป้องกันอันตรายที่อาจเกิดขึ้น ดังนี้
1. ห้ามใช้ภาชนะที่เป็นโลหะ อะลูมิเนียม ภาชนะที่มีขอบทอง
เนื่องจากคลื่นไมโครเวฟไม่สามารถวิ่งผ่านได้ เมื่อชนโมเลกุลของโลหะแล้วคลื่นจะสะท้อนกลับ เกิดเป็นประกายไฟ มีเสียงดัง และอาจเกิดไฟลุกไหม้ได้ นอกจากนั้น หากต้องใช้อะลูมิเนียมฟอยล์ห่ออาหารเข้าไมโครเวฟ ควรใช้อะลูมิเนียมที่มีผิวเรียบ ไม่มีขอบมุมแหลม เพราะมุมแหลมอาจทำให้เกิดประกายไฟได้
2. เปิดฝาก่อนอุ่น
อาหารที่บรรจุในภาชนะมีฝาปิด เมื่อนำไปอุ่นในไมโครเวฟ ควรเปิดฝาออกเล็กน้อย เพื่อให้ไอน้ำสามารถระบายออกมาได้ มิเช่นนั้นจะเกิดความดันมากเนไป ทำให้เกิดการระเบิดได้ด้
3. ระวังปรากฏการณ์ Super Heat
การใช้ไมโครเวฟต้มน้ำให้ร้อน ต้องระมัดระวังปรากฏการณ์ “Super Heat” ซึ่งเกิดจากการต้มน้ำนานเกินไป น้ำและภาชนะจะกักเก็บความร้อนมากเกินกว่า 100 องศาเซลเซียส แต่ไม่มีฟองอากาศเกิดขึ้น เมื่อตักผงกาแฟหรือสื่งอื่นลงไป อาจกระตุ้นให้น้ำเดือดในภาชนะนั้นพุ่งขึ้นมาลวกมือได้
4. ต้มไข่ต้องมีเทคนิค
ภายในไข่มีอากาศอยู่มาก ความร้อนของไมโครเวฟจะทำให้อากาศขยายตัว เมื่อรวมกับไอน้ำที่มีแรงดันสูง ไข่จะระเบิดขึ้นมาได้ซึ่งอันตรายมาก ดังนั้นหากต้องการต้มไข่ให้สุก ให้นำไข่ใส่ชาม ใส่น้ำจนท่วม และใส่เกลือลงไป เท่านี้ไข่ก็จะไม่ระเบิดแล้ว หรือหากตอกไข่ใส่ภาชนะ แล้วใช้ส้อมจิ้มที่ผิวไข่หลายๆ ครั้งก่อนก็ได้ ส่วนไข่ต้มที่ต้มจนสุกแล้ว สามารถใช้วิธีนี้ได้เช่นกัน หรือจะผ่าไข่ออกเป็นหลายส่วนก่อน จากนั้นจึงนำเข้าไมโครเวฟ วิธีนี้ช่วยป้องกันไม่ให้ไข่ระเบิดเช่นกัน
สุดท้ายนี้ ใช้ไมโครเวฟแล้ว อย่าลืมรักษาความสะอาด หมั่นนำจานรองออกมาล้างน้ำทำความสะอาด รวมทั้งหมั่นใช้ผ้าชุบน้ำหมาดๆ เช็ดคราบอาหารภายในไมโครเวฟด้วย เพื่อให้เกิดสุขอนามัยที่ดีต่อร่างกายของเราเอง